น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง –ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนทั้งระบบ ภายหลังจากที่ตนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนดอกเบี้ยโหดว่า ตนขอแสดงความยินดีกับลูกหนี้ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ที่ล่าสุดรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมและตรงจุด โดยช่วยเหลือครอบคลุมทุกกลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี กับกลุ่มผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ โดยในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้นั้น รัฐบาลลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0.01%ต่อปี ลดเงินต้นให้5% ในกรณีปิดบัญชี ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียวกัน และลดเบี้ยปรับ80% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมด และลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% กรณีไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด โดยมาตรการข้างต้นมีผลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ส่วนกรณีผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ประจำปี 2563 และ 2564 ทาง กยศ. จะชะลอการฟ้องคดีไปจนถึง 31 มีนาคมปีหน้ายกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปีนี้พร้อมงดการขายทอดตลาด กรณีที่ถูกบังคับคดีจนถึงสิ้นปี กยศ. จะงดการขายทอดตลาด ส่วนผู้กู้ที่มีสถานะเปราะบาง ในกลุ่มที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับการพักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันยังได้ผ่อนผันการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน ที่สำคัญภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ทางกยศ. จึงได้ยกเลิกกำหนดที่ให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน ในสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 ซึ่งขณะนี้ได้ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาทและอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติอีกส่วนหนึ่งด้วย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ปัญหาหนี้กองทุนกยศ. นับว่าเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ประกอบกับวิกฤติจากสถานการณ์โควิด -19 ทำให้ผู้กู้มีความยากลำบากมากขึ้น เมื่อมีมาตรการจูงใจทั้งลดดอกเบี้ย และลดเงินต้นเมื่อปิดบัญชี รวมทั้งพักชำระหนี้กลุ่มเปราะบาง ก็เชื่อว่า จะช่วยให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชะหนี้ได้ รักษาสถานะของกองทุน รวมทั้งส่งต่อโอกาสไปยังรุ่นน้องที่ต้องการได้รับโอกาสจากกองทุนเพื่อการศึกษาและพัฒนาประเทศชาติต่อไป
“มั่นใจว่ารัฐบาลมาถูกทางในการเร่งแก้ไขปัญหานี้ เนื่องจากกลุ่มลูกหนี้กยศ. ปัจจุบันมีกว่า 3.6 ล้านคน จะทำให้บรรลุเป้าหมายในการลดภาระหนี้สิน และเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนได้จริง ซึ่งจะส่งผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ”น.ส.ทิพานัน กล่าว