นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความวางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการที่หลากหลายผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์
ล่าสุด บริษัทฯ ได้จับมือพันธมิตรธนาคารเพิ่มอีก 1 ธนาคารคือ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สำหรับการให้บริการลูกค้าชำระเบี้ยประกันชีวิตผ่านนวัตกรรมระบบ EDC Pooling จากเดิมที่มีการจับมือกับธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)โดยลูกค้าสามารถชำระเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมเป็นพันธมิตรด้วยเครื่องรูดบัตรเครดิต EDC เพียงเครื่องเดียว แทนรูปแบบเดิมที่ต้องมีเครื่องรูดบัตร EDC โดยเฉพาะสำหรับบัตรเครดิตของแต่ละสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ การให้บริการดังกล่าวนั้น บริษัทฯ มุ่งหวังที่จะอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ใช้บริการ พร้อมทั้งช่วยแบ่งเบาภาระสำหรับการชำระค่าเบี้ยประกันภัยแก่ลูกค้า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19)ที่ยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ซึ่งเปิดให้บริการ ณ ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ โดยให้บริการตั้งแต่วันนี้ – 28 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะมีพันธมิตรธนาคารเข้าร่วมให้บริการ EDC Pooling เพิ่มขึ้น ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาติ จำกัด (มหาชน)
การเปิดให้บริการ EDC Pooling ยังเป็นการช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านการชำระเงินของบริษัทฯ ให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการลดจำนวนเครื่องรูดบัตร ที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกินความจำเป็น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ควบคู่กับการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
“เรามั่นใจว่าบริการ EDC Pooling ที่เมืองไทยประกันชีวิตได้ร่วมกับธนาคารชั้นนำ จะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการชำระเบี้ยประกันภัยได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าการดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้ครบในทุกด้าน เพื่อตอกย้ำนโยบาย MTL Trusted Lifetime Partner รวมถึงเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ (Ecosystem Partner) ดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และในอนาคตเรายังเตรียมขยายบริการดังกล่าวไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ” นายสาระ กล่าว